เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ พ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระวันสำคัญ วันสำคัญ โบราณเขาหยุดวันโกน วันพระ วันโกน วันพระ เขาให้คนไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อไปแสวงหาบุญกุศลของตน แสวงหาบุญกุศลของตนเพื่อชีวิตนี้ให้ชื่นบาน ให้ชีวิตมีความอบอุ่น ไม่ใช่ให้ชีวิตมันแห้งแล้งจนเกินไปไง เราสมบุกสมบันมาทั้งอาทิตย์นะ ถึงเวลาแล้ว วันพระ วันโกน เราไปวัดไปวากันเพื่อไปให้น้ำ เพื่อให้ชีวิตมันมีสติมีปัญญาขึ้นมาไง แต่ในปัจจุบันนี้โลกเจริญๆ ไง เราต้องให้ทันโลกนะ ตอนนี้ลังกาเขากำลังลงประชามติกันอยู่ว่าเขาจะหยุดวันเสาร์อาทิตย์หรือจะหยุดวันพระ วันโกนอย่างเดิม ของเราก็หยุดวันพระ วันโกนไง แต่เราต้องการทันโลกๆ ทันโลก โลกเป็นใหญ่ๆ

ฉะนั้น พระพุทธศาสนาสอนการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เวลาสิ่งที่ตรงข้ามความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นมันมาจากไหน มาจากไหน เวลาเกิดมาเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากเวรจากกรรมไง ไอ้ลูกไม่รู้เรื่องหรอก ไอ้ลูกเวลาเกิดมาอยู่ในครรภ์ อยู่ในท้องของพ่อท้องของแม่ พ่อแม่กินอาหารที่เป็นพิษเข้าไป กินอาหารที่ร้อนเข้าไป ลูกในท้องดิ้นขลุกขลักๆ อยู่ในท้องนั่นแหละ เวลาเกิดออกมาอุแว๊ๆ เห็นไหม พ่อแม่ต้องเลี้ยงดูมาๆ เวลาลูกมันเกิดมามันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดมาจากไหน แต่พ่อแม่เวลาคลอดมา พ่อแม่มีความอบอุ่น มีความสุขใจ พ่อแม่มีผู้สืบสกุล

นี่เวลาเกิด เกิดจากเวรจากกรรมไง คนที่มีเวรมีกรรม ปฏิสนธิจิตๆ จิตเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เวลากรรมพาเกิดๆ แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็เกิดจากพ่อจากแม่ พันธุกรรมของพ่อของแม่ เวรกรรมมันของจิตดวงที่มาเกิดนั่นน่ะ จิตมันอยากจะเกิดคาบช้อนเงินช้อนทองออกมา มันก็ไปเกิดเป็นคนทุกข์ๆ ยากๆ เกิดมาแล้วอยากมีคนดูแลขึ้นมา มันก็ไปเกิดกับคนที่เขาเกิดแล้วก็ไปทิ้งถังขยะ

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นทุกข์ในการเกิดไง เห็นทุกข์ในการเกิด พยายามแสวงหาสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารบวชเป็นพระ เวลาพระบวชมาแล้ว หน้าที่การงานของพระที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การกระทำของพระ งานอันละเอียด เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อจะถอดจะถอน ถอดถอนกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากคือความพอใจในหัวใจนั้นไง ในหัวใจ สิ่งที่มันล้นหัวใจไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากคือน้ำล้นฝั่งไง มันล้นฝั่ง มันไม่พอดีไง แต่เวลาทางโลกเขาๆ เขาแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยนั้น อันนั้นเป็นหน้าที่การงาน แต่ที่มันอยากร่ำอยากรวย อยากมั่งอยากมี อันนั้นน่ะกิเลส แต่หน้าที่ของคนๆ มันมีการกระทำไง ถ้าการกระทำ ถ้าการกระทำ ถ้ามันทำของมันขึ้นมาได้ วันพระ วันโกน เขาไปวัดไปวากัน ไปวัดไปวากันเพื่อเตือนสติไง

เวลาเราไปงานศพ เวลาเขาเวียนรอบเมรุ ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะ คนตายมันต้องเกิดตายในวัฏฏะนี้ เวลาเขาเอาน้ำมะพร้าวลูบหน้า น้ำมะพร้าวลูบหน้าให้ตื่นเสียทีๆ เขาเตือนคนไปงาน เขาเตือนเราให้มีสติ ถ้าเตือนเรา เวลามันทุกข์มันยากขนาดไหน ถ้าระลึกถึงความตายขึ้นมามันจะเบาลงได้นะ ระลึกถึงว่าคนเราถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องตายทั้งนั้นน่ะ ถ้าตายทั้งนั้นขึ้นมา มันมีสิ่งใดเป็นสมบัติที่จริงของเรา ถ้าสมบัติของเราจริง มันก็คุณงามความดีของเรานี่แหละ ในหัวใจของเราคุณงามความดี ดีหรือชั่ว บุญหรือบาปมันติดตัวเราไป ถ้าบุญหรือบาปจะติดตัวเราไป มันตื่นตัวขึ้นมาๆ

เวลาทางโลกเขาบอกเดี๋ยวนี้ สวยจากภายในไง คนเราสวยจากภายใน ถ้าภายในมันสวยนะ มันสวยออกมาภายนอกไง หัวใจถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ มันอบอุ่น เราสบตากันเราก็มีความไว้วางใจกันได้ เราสบตากันแล้วไว้วางใจกันไม่ได้เลย อยู่ที่ไหนมันมีแต่ความเร่าร้อนๆ แต่ถ้ามีศีล คนเรามีศีล ศีล ๕ เราไม่ทำกระทบกระเทือนหัวใจกัน ปาณาติปาตา เขาทำให้ชีวิตตกล่วงถึงเป็นบาปไง

แต่พระกรรมฐานนะ เราจะไม่ทำให้กระทบกระเทือนกัน ถ้าทำกระทบกระเทือนกัน ปาณาติปาตา เราไม่ลักทรัพย์ของใคร ของที่มีเจ้าของ ของสิ่งใดที่มีเจ้าของ มีเจ้าของจะไม่หยิบไม่ฉวยใดๆ ทั้งสิ้น เราไม่ผิดลูกเมียของใคร เราไม่พูดจา

ถ้าพูดจาเชื่อถือได้ คนเราพูดจาเชื่อถือได้มันพูดกันรู้เรื่อง ทุกคนมันก็อบอุ่นใช่ไหม ไอ้นี่ไปไหนมา สามวาสองศอก ถามเรื่องหนึ่ง ตอบอีกเรื่องหนึ่ง มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง มันคิดอย่างหนึ่ง มันทำอย่างหนึ่ง มันกะล่อนปลิ้นปล้อน แต่มันพูดว่ามันเป็นเทวดา แล้วเราจะคบกันได้อย่างไร มันไว้ใจกันได้ไหม มันไว้ใจไม่ได้หรอก ฉะนั้น ถ้ามันมีศีล ๕ ถ้าคนพูดแล้วมันซื่อสัตย์ มันพูดแล้วน่าไว้ใจได้ มันอบอุ่นไหม เราคุยกับใครก็ได้ เราพูดแล้วมันทำตามคำพูด

เราไม่เสพของมึนเมา สิ่งที่มึนเมานะ เมาทางโลกมันเมาด้วยสุราเมรัย ถ้าจะเป็นพระเรามันเมากิเลส ธรรมเมา มันเมาอารมณ์ตัวเอง ถ้ามีสติปัญญามันไม่เมา ถ้าทางโลกว่าสวยจากภายในๆ เขามีศีลมีธรรม เขาก็สวยจากภายใน นี่มันเรื่องของโลกนะ ศาสนามันมีคุณค่ามาก คุณค่ามากจากสังคมนะ สังคมถ้ามีศีล ๕ แค่มีศีล ๕ สังคมร่มเย็นเป็นสุขมากเลย นี่เป็นชาวพุทธทั้งนั้นน่ะ ชาวพุทธ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ภูมิอกภูมิใจกันมาก คนอื่นจะมาทำลายศาสนา ลัทธิอื่นจะมาทำลายศาสนา แต่มันไม่รู้เลยว่ามันเหยียบย่ำศาสนาอยู่นั่นน่ะ

เวลาหลวงตาท่านพูด เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม

เขาก็ถามอีก อะไรเหยียบหัวพระพุทธเจ้า

ศีลนี่ไง ถ้ามันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ข้ามธรรมวินัยไป เหยียบย่ำธรรมวินัยไป แล้วก็แสดงธรรมว่าฉันดี ฉันแน่ ฉันเก่ง แต่มันเหยียบย่ำธรรมวินัยของมันอยู่นั่นน่ะ มันเหยียบย่ำของมันอยู่ แล้วมันแสดงธรรมๆ เอาอะไรมาแสดง ถ้ามันเหยียบย่ำหัวพระพุทธเจ้าอยู่ มันแสดงธรรมนะ เอาอะไรล่ะ เพราะมันสกปรก ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์จากหัวใจ

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แบตลอด ไม่มีกำมือในเราๆ มันแสดงไปตลอด แต่เราไม่เข้าใจกันเอง เราตีความกันไปเอง แล้วตีความไปเองก็เอาชนะคะคานกันไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เขาสนทนาธรรมกันเพื่อความเจริญรุ่งเรือง สนทนาธรรมกันเพื่อเราจะขวนขวายไง ไอ้นี่มันสนทนาธรรมเพื่อจะเหยียบหัวเขา สนทนาธรรมเพื่อจะเก่งกว่าเขา มันมีประโยชน์อะไร มันมีประโยชน์อะไร ฟืนไฟทั้งนั้น ไปกว้านฟืนกว้านไฟของตัวเอง มันเป็นประโยชน์อะไร

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การแสดงธรรมที่ประเสริฐที่สุดคือการไม่แสดง คือการทำตัวให้ดู ท่านอยู่ของท่านในชีวิตของท่าน ชีวิตเป็นแบบอย่างไง เวลาพุทธไสยาสน์ เวลาท่านนอนของท่าน ท่านนอนเป็นแบบอย่าง นอนเพื่อความสุขความสงบจากการนอน พระเราเวลาบิณฑบาตมาแล้วจะฉันก็ไม่ใช่มีความสุขจากการฉันอันนั้นไง เป็นภัตกิจๆ เพื่อดำรงชีพนี้เท่านั้น เลี้ยงชีพนี้ไว้ มันไม่มีความสุขอะไรมากไปหรอก นี่ไปติดมัน ไปติดมันก็เป็นเหยื่อทั้งนั้นน่ะ ไปติดอะไร ไอ้นั่นก็มีอำนาจเหนือเท่าทั้งนั้นน่ะ

ถ้ามันเมาในอารมณ์ เมาในความรู้สึก เมาในการยกย่องสรรเสริญ เมาในโลกธรรม ๘ มันเมาไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าเมาไปแล้ว คนเมา มันทำอะไรของมันได้ แต่ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ตอกย้ำใจของเรา ถ้าเป็นพระเป็นนักบวชขึ้นมาก็ทำเข้มข้นยิ่งกว่านั้น ดูสิ บิณฑบาตมาแล้ว สิ่งใดมา ของดีๆ ดูสิ สมัยหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น สิ่งใดที่เขาใส่บาตรมาของดีนะ ท่านโยนเข้าป่าหมดเลย

คนเรานะ บิณฑบาตมา บิณฑบาตก็จะไปหาบ้านไหนเขามีเศรษฐี เขาจะใส่ของดีๆ ใส่บาตรเรา ไอ้บ้านจนๆ ไม่ไป เขาใส่ของไม่ดี

ครูบาอาจารย์เราอยู่กับหลวงปู่มั่นที่หนองผือ ท่านเล่าให้ฟัง สิ่งใดที่ถูกใจ ถูกใจ หยิบโยนเข้าป่า โยนเข้าป่า สิ่งใดที่ไม่พอใจ ฉันอย่างนี้ ฉันอย่างนี้ ถ้านักบวช นักบวชเขาทำกันอย่างนี้ เขาทรมานกิเลสไง ไอ้ที่มันอยากได้อยากดีนั่นน่ะ มันอยากขึ้นมา ไปเสริมมัน มันจะเมาอารมณ์ไปใหญ่โตเลย แล้วเมาอารมณ์ไปใหญ่โตก็เมาตัวเอง หลงตัวเอง หลงตัวเองก็จะไปเหยียบย่ำคนอื่น คนนี้ดีกว่าคนนั้น คนนั้นดีกว่าคนนี้ ไม่มีใครดีสักคน

ร่างกายนี้มันเน่า เวลาตายไป เก็บไว้ ร่างกาย กลิ่นของซากศพ กลิ่นของมนุษย์ มนุษย์ กลิ่นแท้ๆ คือซากศพ สิ่งที่มันอยู่นี่เพราะอะไรล่ะ พลังงานไง ธาตุไฟเรายังอยู่ไง ชีวิตยังอยู่ไง มันก็อบอุ่นไง แล้วเวลาตื่นนอนขึ้นมาก็ทำความสะอาดไง กลิ่นของมนุษย์คือกลิ่นซากศพนั่นแหละ แล้วมันจะมีใครดีกว่าใคร มันจะใครดีกว่าใคร

มันดีที่ความรู้สึก ดีว่าใครจะดีกว่าใครอยู่ที่หัวใจ หัวใจที่มีคุณค่า หัวใจที่มีคุณธรรม หัวใจที่มีความเมตตา นี่คนมันจะดีมันดีตรงนี้ มันดีที่หัวใจของมนุษย์ แล้วหัวใจของมนุษย์ที่ประเสริฐ ดูสิ หัวใจที่ประเสริฐเขาเป็นประโยชน์กับสังคม เขาเป็นประโยชน์กับสัตว์โลก ใครเกิดมาก็มีความทุกข์ทั้งนั้น เขาเจือจานกับสังคม เศรษฐีสมัยพุทธกาลเขาจะมีโรงทานอยู่หน้าบ้าน ใครร่ำรวยขึ้นมา เขาจะแจกทาน เขาจะมีน้ำใจของเขา นี่เศรษฐี ความแสดงออกของผู้ที่เป็นเศรษฐีคือผู้ที่เสียสละต่างหากล่ะ เขาไม่ได้แสดงออกว่าใครเป็นเศรษฐีโลกๆ

เศรษฐีโลกมันก็เป็นตัวเลขทั้งนั้นน่ะ ใครได้ประโยชน์ก็อันนั้นน่ะ แต่ของเราสิ เศรษฐีของเขา นี่ไง คนที่มันดี มันดีตรงนี้ มันดีที่น้ำใจ มันดีที่หัวใจ แล้วหัวใจที่มีน้ำใจ ทำบุญกุศลก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะใช่ไหม เราเห็นภัยในวัฏสงสาร จะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ ๖๑ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก”

บ่วงที่เป็นโลก โลก สังคมโลก บ่วงที่เป็นทิพย์ เทวดา อินทร์ พรหม บ่วงที่เป็นทิพย์ ที่เป็นสวรรค์ เราไม่ติดไง ไม่ติดบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ มันไม่มีสิ่งใดติดข้องในหัวใจเลย เธอไปอย่าซ้อนทางกัน เธอไปอย่าซ้อนทางกัน ไอ้บ่วงที่เป็นโลกก็อยากจะให้เขายกย่องสรรเสริญโลกธรรม ๘ อยากจะให้เขามอบตำแหน่งหน้าที่การงานนู่นน่ะ บ้าบอคอแตก เวลาบ่วงที่เป็นทิพย์ อู๋ย! อยากจะไปเกิดดีๆ อยากจะให้เทวดายกย่องสรรเสริญ

ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ บ่วงที่เป็นโลก เราก็สละมาแล้ว บ่วงที่เป็นทิพย์ๆ ไอ้ความคาดหมาย ไอ้ความเป็นไป เวลาไปเกิด ถ้าทำคุณงามความดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันก็มีอายุขัยของมัน แต่ถ้าเราไปเกิดอีกก็ไปทุกข์อีก ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม อาหารเป็นทิพย์ สิ่งที่เป็นทิพย์ก็เป็นความสุขๆ เวลาหมดเป็นความสุขก็ไปแข่งขันกันบนเทวดา บนอินทร์ บนพรหมไง เพราะเทวดาเยอะแยะ อินทร์ พรหมเยอะแยะ ใครมั่งมีกว่าใคร เอาไปเทียบเคียงบนอินทร์ บนพรหมนู่นอีกแล้ว ไปเทียบอยู่ข้างบนว่าใครจะมีสมบัติมากกว่ากัน อ้าว! ใครจะปกครองใคร ก็ไปทะเลาะกันอยู่บนพรหมนู่นน่ะ

นี่ไง ถ้าบ่วงที่เป็นทิพย์มันก็ไปติดอยู่นั่นน่ะ แล้วถ้าไม่ติดอยู่นั่น ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบวชมา บวชมาแล้ว นักรบ ทางฆราวาสเขา ถ้าเขาสวยจากภายในให้หัวใจเขามีน้ำใจที่เสียสละนั้น อันนั้นมันก็เป็นบุญกุศลของฆราวาสธรรม ไอ้เวลาฆราวาสเขาเห็นภัยในวัฏสงสารแล้ว เสียสละความเป็นฆราวาส เสียสละความเป็นคนมาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว พระยังเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งเพราะศรัทธา

ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หน้าที่ของภิกษุ เช้าขึ้นมาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง โปรดสัตว์ๆ โปรดตัวเราก่อน โปรดไอ้หัวใจดวงนี้ ไอ้หัวใจดวงที่มันทุกข์มันยาก ไอ้หัวใจที่มันยังไม่พ้น โปรดมันให้ได้ไง โปรดให้ได้ เราทำหน้าที่ ทำหน้าที่ เราจะเคารพธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยไว้อย่างไรไง เราพยายามรักษาไว้ไง

เวลาเช้าออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เราเลี้ยงชีพบิณฑบาตมันหน้าที่ของเรา ไอ้หน้าที่ของฆราวาสเขา เขาอาบเหงื่อต่างน้ำหาเงินหาทองของเขามา เขาอยากได้บุญกุศลของเขา เขาไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติเหมือนนักรบเรา เขาก็จะใส่บาตร ใส่บาตรขึ้นไปเพื่อบุญกุศลของเขา เขาทำหน้าที่ของเขา เขาจะใส่บาตรของเขาเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเขา เราเลี้ยงชีพสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพของเรา เลี้ยงชีพ โปรดสัตว์ๆ สัตว์ตัวนี้ให้มันชีวิตรอด มันต้องอาศัยอาหาร กวฬิงการาหาร อาหารคำข้าว คำข้าวเพื่อร่างกายนี้ไง หาเลี้ยงให้ร่างกายนี้มันมีชีวิตสืบทอดไป แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราพยายามมีศีลของเรา เราพยายามทำสมาธิของเรา ถ้าจิตเราสงบเข้ามา สัญญาอารมณ์เป็นอาหารของใจ บุญกุศลเป็นอาหารของใจ ใจมันได้เสพ ถ้ามันเสพสิ่งใดเป็นประโยชน์กับมัน เวลามันไปเสพความโลภ ความโกรธ ความหลง เสพไปแล้วมีแต่ความทุกข์ความยาก มันคายทิ้ง

เวลามันเสพศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมามันมีความสุข มีความสงบ มีความระงับของมัน มันมีความสุข แล้วความสุขอย่างนี้มันเกิดได้ยาก มันจะหาที่ไหน มันเกิดจากความเพียรชอบไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันเป็นพิษมันไม่ต้องใช้ความเพียรเลย เพราะมันมีอวิชชา มีความไม่รู้อยู่แล้ว มันก็ไปตะครุบ ไปพยายามขวนขวายเอาเข้ามาเผาตัวมัน เวลาสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยไม่ต้องไปหาเลย มันผุดขึ้นมาจากหัวใจ

ไอ้สิ่งที่เป็นคุณงามความดีที่จะให้มันเกิดขึ้นจากใจบ้าง มันต้องลงทุนลงแรงขึ้นมา บิณฑบาตมาแล้ว สิ่งใดที่ถูกใจ สิ่งใดที่มันพอใจ ถ้าไปกระตุ้นมัน เดี๋ยวมันก็จะเห่อเหิม พยายามเสียสละ พยายาม ปฏิสงฺขา โยฯ ก่อนฉันอาหาร ฉันเข้าไปแล้วมันเป็นโทษกับร่างกาย ฉันอาหารแล้วมันเกิดพลังงานขึ้นมา ไปนั่งแล้วมันโงกง่วง เวลาไปนั่งสมาธิภาวนา อยากให้มันได้สมาธิขึ้นมา เพราะนั่งสัปหงกโงกง่วง หัวก็ทิ่มบ่อ มันไม่มีอะไรเป็นประโยชน์เลย ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ มันก็ต้องอาศัยสติอาศัยปัญญา

เวลานักรบ เวลานักรบเขาต้องมีสติปัญญา เพราะอะไร เพราะจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ใช่ทางโลกเขา ทางโลกเขา เขาหาของเขา หาเพื่อชาติเพื่อตระกูลของเขา เพื่อความมั่นคงของเขา เพื่อความสุขความสงบในหัวใจของเขา เขามีสติปัญญา เขาคาดหวังของเขาอย่างนั้น เขาหวังผลประโยชน์อย่างนั้น

ไอ้พวกที่นักบวชๆ บวชมาแล้วเห็นภัยในวัฏสงสาร มันจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันจะสิ้นจากกิเลสไป แล้วกิเลสมันตัวเป็นอย่างไร กิเลส ตัวมันกลมๆ หรือตัวมันแบนๆ กิเลสมันอยู่ที่ไหนล่ะ กิเลสมันอยู่ที่กลางหัวใจ

เวลาไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความโลภก็เป็นกิเลส ความโกรธก็เป็นกิเลส ความหลงก็เป็นกิเลส แล้วมันหลงอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเราพอใจก็เป็นความดีของเรา ไม่ใช่ความหลง ถ้าเป็นความโกรธ โกรธ เราจะแสดงออกของเรา มันเป็นประโยชน์กับเรา เวลามันว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเป็นกิเลส แต่ของเราก็ไม่รู้ว่ากิเลส เวลามันมีแต่ชื่อ ชื่อมันเป็นในตำรา เวลามันเกิดกับเรา มันเป็นเราไปหมด เราไม่เห็นมันสักที เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่รับรู้ ถ้าจิตสงบ มันสำนึกได้

คนสำนึกได้นะ คนทำความผิดแล้วสำนึกได้ เสียใจเนาะ เราทำอะไรนะ แล้วไปกระทบกระเทือนคนอื่น แล้วเรารู้ได้ทีหลัง มันไม่น่าทำเลย เขาก็มีความทุกข์ ยิ่งทำแล้วเราก็ได้บาปอกุศลไปอีก ไม่ควรทำๆ แต่ไม่เคยทันตัวเองสักที คิดได้ต่อเมื่อทำไปแล้ว คิดได้ต่อเมื่อทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจไปแล้ว มันไม่เคยคิดได้สักที แต่ถ้าเราฝึกหัดของเราๆ เวลามันจะคิดได้ พอมันจะคิด มันคิดว่ามันจะหาผลประโยชน์ของมัน แน่ะๆๆ

ถ้าสติ สมาธิมันทัน มันทันหมดนะ ทันความคิดเรา ทันความคิดเราจนมันคิดไม่ได้ ถ้าคิดไม่ได้นะ ให้มันทรงตัวได้ มันก็เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น จิตเวลามันพาดพิงอารมณ์ อารมณ์เป็นเรา ไม่รู้จัก เวลามันไม่พาดพิงอะไร มันอยู่โดยตัวมันเองก็ไม่รู้จักอีก แล้วทำอย่างไรให้มันรู้จักล่ะ มันก็ต้องอาศัยฝึกหัดๆ มีครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมาแล้ว สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ ธรรมะมันเป็นอย่างนี้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เธออย่ามีสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” เวลาคุณธรรมมันเกิดขึ้นกลางหัวใจก็ไม่รู้จักมันเสียอีก ฝึกหัดๆ จนเรามีสัจจะมีความจริง เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เราพยายามตั้งมั่นของเรา ถ้ามันไปเสพ เราก็รู้ว่ามันร้อน เวลาเราตั้งสติแล้วเราพุทโธไว้ ปัญญาอบรมสมาธิ เวลามันสงบเข้ามา มันไม่พาดพิงสิ่งใดเลย เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแล้วพยายามศึกษา พยายามรักษาไว้ พยายามมีสติปัญญาไว้ รักษาไว้ ถ้ามันตั้งมั่นของมันได้ ดูมันเสวยอารมณ์ ดูที่มันจะไปคิด ถ้ามันจับต้องไม่ได้ จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตไม่เห็นอาการของจิตก็เห็นสติปัฏฐาน ๔ ไปไม่ได้

การที่จะเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงไง ปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ จิตมันต้องสงบก่อน จิตเป็นผู้กระทำก่อน ในการทำงานมันต้องมีคนทำงานใช่ไหม ถ้าไม่มีใครทำงาน งานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้แต่คอมพิวเตอร์เราก็ตั้งโปรแกรมให้มัน ปัญญาบัณฑิต เราก็ต้องเป็นคนแสวงหามา มันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นๆ มันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ สิ่งที่มันจะรู้จะเห็น ถ้าจิตเราไม่สงบ จิตเราไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมา การกระทำนั้นมันไม่ใช่มรรค ถ้ามันเป็นมรรคนะ มรรคคือหัวใจของเราสงบระงับเข้ามา แล้วมันทำงานของมัน มันถึงเป็นมรรคเป็นผลไง

เราไม่เคยทำอะไรเลย เราจะได้อะไรเลย เราไม่เคยทำอะไรเลย เราจะได้อะไรบ้าง ว่ามา เราไม่เคยทำอะไรเลย เราจะได้อะไร เราก็ต้องทำทั้งนั้นน่ะ คนที่มันจะได้สิ่งใดมามันต้องทำของมันมา แล้วทำของมันมา สิ่งที่ทำมาๆ มันทำมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำด้วยการปิดบังซ่อนเร้น มันไม่ให้ใครรู้ แต่มันมีผล เพราะความลับไม่มีในโลกไง

แต่เวลาจะชำระล้างกิเลสขึ้นมามันต้องสว่างกระจ่างแจ้งกลางหัวใจ มันสว่างกระจ่างแจ้ง เวลามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง เห็นความเศร้าหมอง เห็นความผ่องใส เห็นความเคลือบแคลงในใจ นั่นแหละตัวกิเลส นี่ไง จะชำระกิเลส เห็นกิเลสไง เวลาพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก มันเป็นไตรลักษณ์ๆ พอมันคลายตัวออก กิเลสมันเกาะสิ่งใดไม่ได้ มันสลายลงไปไง ถ้ากิเลสมันสลายลงไป สลายบ่อยครั้งเข้าๆ มีความชำนาญมากขึ้น เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วมันขาด

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไง แล้วมีอะไรบ้างที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายล่ะ มีอะไรบ้างล่ะ ก็มีคุณธรรมอันนี้ไง ถ้าคุณธรรมอันนี้ มันไม่มีการไปและไม่มีการมาไง มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันคงที่ของมัน คงที่ด้วยอะไร สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งในโลกนี้คงที่ไม่ได้ ของในโลกนี้เป็นของคู่ แล้วสิ่งใดที่มันเป็นของเดี่ยวล่ะ เอโก ธมฺโม ล่ะ หนึ่งเดียวล่ะ ไม่เคลื่อนไหวล่ะ นี่ไง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมอย่างนี้ กราบธรรมอย่างนี้ไง

เราไปวัดไปวาขึ้นมาก็เพื่อบุญกุศลของเรา นักบวชของเราที่อยากจะพ้นจากทุกข์ ฟังธรรมๆ เพื่อกล่อมหัวใจของเรา ให้คุณธรรมชี้นำเรา แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติมาให้เป็นความจริงของเรา มันต้องเป็นความจริงของเรามันถึงเป็นสมบัติของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง